สายลุยต้องรู้! วิธีนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ ทั้งสนุก ตื่นเต้น ประทับใจ
พูดถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เดินทางง่ายเหมาะกับวันหยุด ก็ต้องคิดถึงถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพราะถึงแม้จะไม่มีรถส่วนตัว ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวแต่อย่างใด เพราะมีบริการขนส่งสาธารณะให้เลือกหลากหลาย และหนึ่งในนั้นก็คือ รถไฟ ที่เรียกว่านอกจากจะทั้งง่ายทั้งประหยัดแล้ว ยังถูกใจขาลุยที่ชอบเก็บเกี่ยวบรรยากาศ และความทรงจำแบบฮิปๆ อีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันดีกว่าว่าวิธีเดินทางไปเขาใหญ่ด้วยรถไฟมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
วิธีนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ง่ายๆ แค่ 5 ขั้นตอน
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ถึง 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดสระบุรี แต่สำหรับการนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ให้ใกล้ที่สุด แนะนำให้นั่งรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีปลายทางคือ ปากช่อง และลงที่สถานีตลาดอำเภอปากช่อง ทั้งนี้ หากไปจากกรุงเทพฯ สถานีต้นทางคือ สถานีหัวลำโพง แต่ถ้าหากใครที่อยู่ใกล้สถานีอื่นๆ ในเส้นทางเดียวกันก็สามารถขึ้นจากสถานีที่ใกล้ได้เลย
1. ตรวจสอบตารางรถไฟ
ขั้นตอนแรกของการนั่งรถไฟไปเขาใหญ่คือ การตรวจสอบตารางรถไฟ เพื่อให้การเดินทางสะดวกและราบรื่น
และสามารถวางแผนการเดินทางได้ โดยทำการตรวจสอบตารางรถไฟในระบบออนไลน์ก่อนทุกครั้ง สามารถเลือกจุดเริ่มต้นที่สะดวก สถานีปลายทางปากช่อง และวันที่ต้องการไปได้เลย เมื่อกดไปแล้วระบบก็จะให้ดูว่าวันที่ต้องการเดินทางมีเวลาไหนบ้าง เรียกได้ว่าสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการวางแผนในการเดินทาง
2. ซื้อตั๋วรถไฟตามรอบเวลา
เมื่อตรวจสอบตารางรถไฟแล้ว จะเห็นว่ารถไฟมีให้เลือกทั้งรถพัดลม รถแอร์ รวมทั้งประเภทรถด่วนหรือรถความเร็วธรรมดา สำหรับรอบเวลาของแต่ละขบวนก็จะต่างกันไป มีทั้งรอบเช้าที่ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด จนถึงรอบกลางคืน ถึงอย่างไรก็ตามคุณควรเผื่อเวลาหรือวางแผนในการเดินทางให้ดี เพราะในบางกรณีรถไฟจะมีความล่าช้า ซึ่งอาจกระทบกับการแผนการเที่ยวของคุณ ด้านราคาตั๋วจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของรถไฟที่เลือก เช่น จากสถานีหัวลำโพง กรุงเทพฯ ไปปากช่อง รถไฟเร็วแบบพัดลมมีราคาประมาณ 90 – 130 บาท รถไฟด่วนพิเศษแบบแอร์มีราคาประมาณ 300 – 400 บาท
เมื่อเลือกตั๋วตามเวลา และงบประมาณที่สะดวกได้แล้ว ก็สามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้เองแบบง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
3. นั่งประจำที่นั่ง และเตรียมเสบียงให้พร้อม
เมื่อถึงวันและเวลาที่จองตั๋วไว้ ก็สามารถเดินทางไปสถานีรถไฟ และจับจองที่นั่งในขบวนตามเลขที่นั่งที่ได้ซื้อไว้ อย่าลืมตรวจสอบให้ดีว่าถูกที่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องลำบากลุกเปลี่ยนทีหลังเมื่อมีการตรวจตั๋ว ส่วนในกรณีที่มีคนอื่นนั่งผิดที่อยู่ก่อนแล้ว สามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของรถไฟเพื่อให้คนที่นั่งผิดเคลื่อนย้ายได้
แนะนำให้เตรียมหาอาหาร ขนม และน้ำดื่มไว้รับประทานระหว่างเดินทาง ถ้ากลัวไม่อิ่ม จะรอตามรอยอาหารอร่อยตามสถานีรถไฟก็ได้เช่นกัน
4. ออกเดินทางไปยังปากช่อง
เมื่อถึงเวลารถไฟจะทำการออกขบวนเพื่อมุ่งหน้าสู่ปากช่อง ที่เป็นจุดมุ่งหมายของเรา โดยการนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ คุณสามารถตักตวงบรรยากาศ และทิวทัศน์จากนอกหน้าต่างแบบฟินๆ และเมื่อรถไฟหยุดจอดตามสถานีต่างๆ คุณจะได้เห็นบรรยากาศที่มีพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายอาหารกันแบบชุลมุน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ โดยเวลาในการเดินทางจะอยู่ประมาณ 3-5 ชั่วโมง
5. เดินทางต่อไปยังเขาใหญ่
เมื่อรถไฟเดินทางถึงปากช่องแล้วจะต้องเดินทางไปเขาใหญ่ยังไงดี? สำหรับวิธีเดินทางไปเขาใหญ่คุณสามารถเดินทางได้ด้วยกัน 3 วิธี ดังนี้
รถสองแถวปากช่อง-เขาใหญ่
การเดินทางต่อด้วยรถสองแถวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการประหยัดงบ เมื่อลงจากสถานีรถไฟให้เดินตรงไปจนสุดทาง เลี้ยวซ้ายต่ออีกประมาณ 200 เมตร และเดินต่อมาในเมืองปากช่องอีกเล็กน้อย ใช้เวลาเดินทางรวมไม่เกิน 10 นาที ก็จะพบรถสองแถวปากช่อง-เขาใหญ่ เป็นรถหกล้อ สีฟ้า หรือจะใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์บริเวณหน้าสถานีปากช่องก็ได้เช่นกัน
รถสองแถวปากช่อง-เขาใหญ่ มีราคาค่าโดยสารประมาณ 40 บาท สามารถขึ้นได้ทุกวันตั้งแต่ประมาณ 06.00 – 18.00 น. โดยแต่ละคันจะออกเดินทางห่างกันประมาณ 20 นาที และจอดส่งที่ด่านตรวจทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
เช่ามอเตอร์ไซค์
ใครที่ชอบขับรถรับลมเย็นๆ จากธรรมชาติ การเช่ามอเตอร์ไซค์ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย โดยคุณสามารถหารถมอเตอร์ไซค์ให้เช่าได้ที่บริเวณตลาดปากช่อง และบริเวณหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อย่างไรก็ตาม ทางขึ้นเขาและลงเขาถือว่าเป็นทางโดยสารที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ใครที่อยากเช่ามอเตอร์ไซค์ควรมั่นใจว่าสามารถขับขี่บนเส้นทางนั้นได้หรือมีความคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี ราคาค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ประมาณ 300-500 บาทต่อวัน
เช่ารถยนต์
การเช่ารถยนต์จะเหมาะกับคนที่มากันเป็นกลุ่ม ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือความสะดวกสบาย โดยสามารถหารถยนต์ให้เช่าได้ในบริเวณตลาดปากช่อง อย่างไรก็ตามคุณควรศึกษาวิธีขับรถขึ้นเขาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ สำหรับราคาค่าเช่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 – 1,500 บาทต่อวัน
นั่งรถไฟต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
เมื่อต้องนั่งรถไฟไปเที่ยวเขาใหญ่หรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ คุณจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย เช่น
- ไม่ขึ้นรถขณะรถกำลังเคลื่อนตัว
- ไม่ยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง
- ไม่ยืนระหว่างหัวต่อรถ
- ไม่เดินชิดขอบชานชาลา
- ตรวจสอบว่านั่งถูกขบวนรถ และถูกเลขที่นั่ง
- ตรวจสอบสัมภาระและสิ่งมีค่า
- รักษาความสะอาด
- ไม่ควรนำอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง และสัตว์เลี้ยงขึ้นรถ
ข้อดีและข้อเสียของการนั่งรถไฟไปเขาใหญ่
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ อาจมีข้อสงสัยกว่าจริงๆ แล้วข้อดีและข้อเสียของการนั่งรถไฟนั้นมีอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณได้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าควรเลือกเดินทางไปเขาใหญ่ด้วยวิธีไหนดี
ข้อดี
- ราคาเป็นมิตร: เทียบกับราคาน้ำมันที่ต้องใช้ในระยะทางการเดินทางหากขับรถเอง และตัวเลือกขนส่งสาธารณะอื่นๆ แล้ว รถไฟถือว่าราคาประหยัดที่สุด เพราะสามารถเลือกนั่งรถไฟในราคาไม่เกิน 100 บาท หรือเพียง 100 บาทต้นๆ ได้
- สามารถชมธรรมชาติได้ตลอดทาง: เส้นทางไปปากช่องนั้น สามารถชมบรรยากาศต้นไม้เขียวขจีได้ผ่านหน้าต่างตั้งแต่ต้นสายเรื่อยไปจนถึงปลายสายเลยทีเดียว
- เปิดประสบการณ์เดินทางใหม่ๆ : นอกจากได้รับชมทิวทัศน์ที่เรียงรายข้างทางแล้ว ยังได้รับประสบการณ์เฉพาะตัว อาทิเช่น ได้เก็บบรรยากาศการเดินทางแบบคลาสสิก เพิ่มภาพถ่ายฮิปๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ลงอัลบััม และได้ตามชิมอาหารหลากหลายรูปแบบตามสถานีต่างๆ ถ้าใครไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อน ยิ่งถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย
ข้อเสีย
- ใช้เวลาในการเดินทางนาน: ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบเดินทางนานๆ และคนที่วางแผนจะไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ
- รถไฟอาจไม่ตรงเวลานัก: รถไฟอาจล่าช้า โดยเฉพาะเมื่อแวะตามสถานีต่างๆ ดังนั้น อาจทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวไปด้วยระหว่างทาง
- ไม่สะดวกเท่ารถส่วนตัว: ถึงแม้การนั่งรถไฟไปเที่ยวเขาใหญ่จะเป็นวิธีที่สะดวก แต่หากพูดถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวอาจจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการขับรถไปเอง หรือแม้แต่การแวะระหว่างทางหากคุณขับรถไปเองก็สามารถแวะตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ได้ แต่เมื่อต้องนั่งรถไฟทำให้ไม่สามารถแวะไปยังสถานที่อื่นๆ ได้ นอกเสียจากถึงสถานีปลายทางเท่านั้น
วิธีเดินทางไปเขาใหญ่ด้วยขนส่งสาธารณะอื่นๆ
นอกจากการเดินทางไปเขาใหญ่ด้วยรถไฟแล้ว ยังมีวิธีไปเขาใหญ่อีกหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวและอยากเดินทางแบบสะดวกสบาย ด้วยการนั่งรถทัวร์และรถตู้ ซึ่งแต่ละวิธีจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้นต้องมาดูกันเลย
เดินทางด้วยรถทัวร์
หนึ่งในวิธีเดินทางไปเขาใหญ่เมื่อไม่มีรถส่วนตัว กับการขึ้นรถรถทัวร์เอกชนที่มีความสะดวกสบาย และใช้เวลาเดินทางไม่นานมาก สำหรับการนั่งรถทัวร์ไปเขาใหญ่สามารถโดยสารรถทัวร์เอกชนเส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา โดยซื้อตั๋วและขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ จตุจักร หรือที่หมอชิต 2
ทั้งนี้ รถทัวร์เอกชนมักส่งที่สถานีขนส่งปากช่อง หรือบริเวณตลาดอำเภอปากช่อง แนะนำว่าให้ลงที่ตลาดอำเภอปากช่อง และต่อรถสองแถว หรือเช่ารถเพื่อเดินทางต่อไปเขาใหญ่ ในการเดินทางด้วยรถทัวร์จะมีค่าโดยสารประมาณ 200 – 250 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
เดินทางด้วยรถตู้
ถ้าไม่อยากนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ ต้องมาใช้บริการรถตู้ ซึ่งสามารถขึ้นรถตู้ได้ที่หมอชิตหรือที่รังสิต โดยปกติรถตู้จะจอดส่งในตลาดปากช่อง แต่บางคันสามารถไปส่งถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้เลย แนะนำให้สอบถามรถตู้เรื่องจุดรับส่งก่อนเพื่อความสะดวก ซึ่งจะมีค่าโดยสารประมาณ 160 บาท และใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง
คงจะได้คำตอบไปแล้วว่าไปเขาใหญ่ยังไงดีหากไม่มีรถยนต์ ซึ่งบทความนี้ก็ได้รวบรวมมาให้ด้วยกันหลายวิธี เช่น การนั่งรถไฟไปเขาใหญ่ การนั่งรถทัวร์ หรือการนั่งรถตู้ ทั้งนี้ เคล็ดลับสำหรับวิธีเดินทางไปเขาใหญ่คือการเลือกช่องทางการเดินทางที่เหมาะกับแผนเที่ยว โดยสามารถเลือกได้มากกว่าหนึ่งวิธี เช่น นั่งรถไฟขาไป นั่งรถทัวร์ขากลับ และเมื่อไปถึงที่หมายแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อ เพราะภายในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีสถานที่รอบๆ ให้เที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดนัดเขาใหญ่ สวนสัตว์ คาเฟ่ หรือร้านอาหารชื่อดัง ช่วยเติมความสนุก ตื่นเต้น และความประทับใจให้กับผู้เดินทางได้เป็นอย่างดี