fbpx

7 สถานที่ท่องเที่ยวจอร์เจียยอดฮิต ดินแดนสองทวีป ค่าครองชีพแสนถูก!

จอร์เจีย ได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนที่มีความน่าอัศจรรย์ทั้งทางธรรมชาติ ผู้คน อาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ใครต่อใครที่ได้มาเที่ยวต่างก็อยากจะกลับไปเยือนอีกให้ได้ อีกทั้งยังจัดเป็นดินแดนสองทวีป ที่ตั้งอยู่ขอบเอเชียเชื่อมกับทวีปยุโรป มีกลิ่นอายของความเป็นสองทวีปมาผสานความแตกต่างเข้ากันอย่างลงตัว แต่ก็ยังได้ดื่มด่ำกับความแปลกที่ทำให้คุณต้องหลงใหลกับมนตร์เสน่ห์ของประเทศจอร์เจียที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เที่ยวสถานที่ใด  คุณจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน 

ทำความรู้จัก ประเทศจอร์เจีย เป็นอย่างไร

ทำความรู้จัก ประเทศจอร์เจีย เป็นอย่างไร

จอร์เจีย เป็นประเทศที่คนไทยเองเวลาจะเดินทางไปท่องเที่ยวไม่ค่อยจะนึกถึงเท่าไรนัก ด้วยความที่จอร์เจียไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวในวงกว้าง แต่คุณอย่าได้มองข้ามประเทศแห่งนี้ เพราะจอร์เจียเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดกับประเทศตุรกี อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และรัสเซีย ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่าจอร์เจียตั้งอยู่ในทวีปยุโรป แต่ความจริงแล้วจอร์เจียตั้งอยู่ในทวีปเอเชียฝั่งตะวันตกนั่นเอง 

ประเทศแห่งนี้อยู่ตั้งอยู่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาคอเคซัส และเมื่อไรที่คุณอยากเสพบรรยากาศของความเป็นยุโรปแต่เดินทางไปที่เอเชีย ให้ไปเยือนที่จอร์เจียแล้วคุณจะได้สิ่งที่คุณหวัง เมื่อเดินทางไปถึงประเทศจอร์เจียคุณสามารถแลกเงินเป็นสกุลเงินจอร์เจียที่สนามบินได้เลย ซึ่งค่าเงินของจอร์เจีย 1 ลารีจอร์เจีย (Georgian Lari) มีค่าประมาณ 10.59 บาท สังเกตได้ว่าค่าเงินบาทไทยเรามีค่าเงินสูงกว่าของจอร์เจีย เมื่อรับรู้แล้วก็ฟันธงได้เลยว่าการเที่ยวรอบนี้จะต้องเริ่มต้นด้วยความสนุกอย่างแน่นอน 

เที่ยวจอร์เจีย ไปตอนไหนดี?

เที่ยวจอร์เจีย ไปตอนไหนดี?

ประเทศจอร์เจียเป็นประเทศที่มี 4 ฤดูกาล แต่ละช่วงฤดูที่เกิดขึ้นกับประเทศแห่งนี้ล้วนแล้วมีเอกลักษณ์ความสวยงามที่แตกต่างกันไป และการเดินท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้ทุกฤดู หากใครอยากรู้จักจอร์เจียอย่างลึกซึ้ง สามารถที่จะอยู่เที่ยวข้ามเกี่ยวหลายฤดูได้อย่างสนุก และเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แสนมหัศจรรย์ได้อย่างสำราญใจ ดังนี้ 

  • ฤดูหนาว: จะอยู่ในช่วงธันวาคม ไปจนถึง กุมภาพันธ์ ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ท่องเที่ยวที่น่าจะได้ใจคนไทยมากที่สุด ด้วยอากาศเมืองไทยที่ร้อน การมาหลบแดดที่นี่ จะทำให้คุณได้ลองเดินทางที่แปลกออกไป แต่ข้อสำคัญก็ต้องเตรียมตั้งรับกับการทำให้ร่างกายพร้อมเป็นอย่างดี พร้อมอุปกรณ์กันหนาวให้ครบ 
  • ฤดูใบไม้ผลิ: เดินทางได้ในช่วงมีนาคม ไปจนถึง พฤษภาคม เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวที่เที่ยวได้สบายที่สุด อากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ให้ความรู้อบอุ่น และได้เห็นธรรมชาติที่เป็นสีเขียวผลิบานสวยงาม
  • ฤดูร้อน: ใครจะเที่ยวต้องเดินทางในช่วงมิถุนายน ไปจนถึง สิงหาคม เป็นช่วงที่มีอากาศร้อนคล้ายเมืองไทย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบเที่ยวหน้าหนาว ให้มาเที่ยวช่วงนี้รับรองเที่ยวเพลินไม่รู้ตัว
  • ฤดูใบไม้ร่วง: สามารถเดินทางได้ในช่วงกันยายน ไปจนถึง พฤศจิกายน สามารถเห็นความสวยงามของพืชพันธุ์ได้อย่างละลานตา 

เดินทางไปประเทศจอร์เจียอย่างไร?

เดินทางไปประเทศจอร์เจียอย่างไร?

เมื่อไรที่คุณแพลนจะเดินทางท่องเที่ยวจอร์เจียอาจจะต้องเดินทางหลายต่อ แต่รับรองว่าเมื่อไปถึงคุณจะต้องหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง โดยเมืองหลวงของจอร์เจียมีชื่อว่า ทบิลิซี สำหรับสายการบินจากประเทศไทยนั้นยังไม่มีเที่ยวบินตรงไปยังเมืองทบิลิซี แต่สามารถเดินทางด้วยการไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินโดฮา ประเทศตุรกี โดยการเดินทางจะใช้เวลาราวๆ ประมาณ 11 – 13 ชั่วโมง จัดว่าใช้เวลาเดินทางไม่นานมาก และไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด

สำหรับคนไทยที่ไปเที่ยวไม่ต้องทำวีซ่า ให้ยุ่งยาก และฟรีตลอดระยะเวลา 1 ปี จัดว่าเป็นของขวัญชิ้นพิเศษให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นอย่างดี สามารถเที่ยวยาวได้ถึง 365 วันเลยทีเดียว แค่เตรียมพาสปอร์ตเล่มเดียวก็เข้าประเทศจอร์เจียได้ และอาจมีการแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้วยเล็กน้อย แต่รับรองเลยว่าไม่ต้องกักตัวให้วุ่นวาย 

ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปและกลับประเทศจอร์เจียด้วยเครื่องบิน อยู่ประมาณ 22,000 ต่อคน (ราคาตั๋วจากคูเวต แอร์) ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่ได้สูงมากจนเกินไป หากใครที่อยากเที่ยวในประเทศที่ให้ฟีลยุโรปแต่อยู่ในเอเชีย การเดินทางจอร์เจียด้วยค่าโดยสารราคานี้ ถือว่าคุ้มสุดคุ้มมากแล้ว 

7 สถานที่ท่องเที่ยวในจอร์เจีย ประทับใจไม่ลืม

เมื่อเดินทางไปถึงประเทศจอร์เจีย ดินแดนสองทวีปแล้ว แต่มีแพลนที่ลิสต์ไว้มากมายจนไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ไหนก่อนดี หรือไม่แน่ใจว่าจะสามารถตามเก็บได้ทุกที่หรือไม่ มาดู 7 สถานที่ท่องเที่ยวในจอร์เจียสุดฮิตและฮอตติดอันดับต้นๆ ให้ทุกคนได้ลองไปเยือนกัน รับรองไปแล้วจะลืมกับความสวยงามและสนุกสนานกับสถานที่ตรงหน้าไม่ลงเลยล่ะ 

1. เมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi)

1. เมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi)

ที่แรกจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากเมืองหลวงทบิลิซี สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มีเอกลักษณ์ด้วยความเป็นเมืองเก่าดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี มีจุดเด่นคือ ตัวอาคารบ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานของแต่ละยุคตามกาลเวลา และถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาสูงสวยงามตระการตา เรียกได้ว่าเป็นภาพที่สวยงามจนแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ 

การเดินทางมาเที่ยวเมืองหลวงทบิลิซี สามารถมาได้ในทุกช่วงฤดูกาล มีกิจกรรมมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการชมวิวแบบพาโนรามาของทั้งเมือง ด้วยการขึ้นไปบนป้อมปราการนารีกาลา ซึ่งมีค่าโดยสารเพียง 1 ลารีจอร์เจียเท่านั้น เมื่อคุณไปถึงบนป้อมแล้วสามารถเห็นทะเลสาบทบิลิซี ล้อมด้วยแมกไม้สวยตัดกับสีทะเลสาบได้ลงตัว 

เมืองหลวงเก่าจอร์เจีย มิชเคห์ตา (Mtskheta)

2. เมืองหลวงเก่าจอร์เจีย มิชเคห์ตา (Mtskheta)

เมืองหลวงเก่าของจอร์เจีย ชื่อว่า มิชเคห์ตา สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจให้สืบเสาะค้นหาอีกมาก มีภูมิประเทศที่สวยงามเหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจ บ้านเมืองมีเสน่ห์ของความเป็นยุคกลางไม่มีเปลี่ยน ห้อมล้อมไปด้วยไร่องุ่นที่ปลูกขึ้นมาสวยสด มีโบสถ์ที่ได้รับการจดทะเบียนว่าเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมถึง 3 แห่ง ได้แก่ Svetitskhoveli Cathedral, Samtavro Church and Monastery และ Mtskhetis Jvari อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายสำคัญบรรจบติดต่อกัน ชื่อว่าแม่น้ำอักขราวิ และแม่น้ำมิกวาริ แม่น้ำสายนี้ดูแปลกตาเมื่อได้มาหลอมรวมเป็นสายน้ำเดียวกัน 

  • วิธีเดินทาง : รถโดยสารสาธารณะ
  • ที่อยู่ : ประมาณ 20 กม. (12 ไมล์) ทางเหนือของทบิลิซี ที่จุดบรรจบของแม่น้ำมซวารี (Mtkvari) และแม่น้ำอารากวี (Aragvi)
  • พิกัด : เมืองหลวงเก่าจอร์เจีย มิชเคห์ตา 

หมู่บ้านจูทา (Juta Village)

3. หมู่บ้านจูทา (Juta Village)

มาต่อกันด้วยการเที่ยวด้วยความเรียบง่าย แต่รายล้อมไปด้วยความสวยงามดูเย็นตาชื่นใจ ที่นี่หากจะเรียกว่าเป็นสวิสแห่งจอร์เจียก็ดูจะไม่เกินจริงสักเท่าไร ด้วยสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่กลางหุบเขาคอเคซัส เทือกเขาที่จัดว่าสวยที่สุดในจอร์เจีย มีความอลังการเป็นยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี หากมาที่นี่มีกิจกรรมมากมายให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการปีนเขา กางเต็นท์ปิกนิกกับครอบครัว และพักกระท่อมกลางทิวเขา 

  • วิธีเดินทาง : รถโดยสารสาธารณะ
  • ที่อยู่ : เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติ Kazbegi National Park ใกล้กับบริเวณชายแดนระหว่างจอร์เจีย และรัสเซีย
  • พิกัด : หมู่บ้านจูทา 

เมืองบาทูมิ (Batumi)

4. เมืองบาทูมิ (Batumi)

มาต่อกันที่เมืองที่ได้ชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจอร์เจีย เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งของทะเลดำ ซึ่งทะเลดำตั้งอยู่บริเวณตีนเขาคอเคซัส ภายในเมืองมีการผสานระหว่างคัลเจอร์เดิมที่มีมาเนิ่นนาน และเข้ากันกับสมัยใหม่ได้อย่างไร้ที่ติ ใครที่ชอบเที่ยวด้วยรสชาติที่มีเครื่องเล่นแนวเอนเตอร์เทนจะต้องชอบที่แห่งนี้แน่ 

  • วิธีเดินทาง : รถโดยสารสาธารณะ
  • ที่อยู่ : ริมฝั่งทะเลดำทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในเขตภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนบริเวณตีนเขาคอเคซัส
  • พิกัด : เมืองบาทูมิ 

5. เมืองคาซเบกิ (Kazbegi)

5. เมืองคาซเบกิ (Kazbegi)

ที่ต่อมาเอาใจคนที่ชอบความสูงสักหน่อย ที่นี่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัส แต่จะตั้งอยู่ที่ฟากฝั่งหนึ่ง นั่นคือ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจีย ที่น่าสนใจคือว่าที่แห่งนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,170 เมตร เลยทีเดียว ใครที่อยากมาที่นี่ต้องเดินทางด้วยการนั่งรถโฟล์วีลขึ้นมาจะดีที่สุด หรือจะใช้รถส่วนตัวก็ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงถึง ที่นี่มีโบสถ์เก่าแก่ชื่อว่า Gergeti Trinity Church สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 มีไฮไลต์เป็นยอดขาคาซเบกิเป็นฉากหลังที่สวยจนน่าตะลึง

  • วิธีเดินทาง : รถโดยสารสาธารณะ
  • ที่อยู่ : อยู่บนภูเขาคาซเบกิ อยู่ไม่ไกลจาก เมืองทบิลิซี (Tbilisi) และชายแดนทางตอนเหนือติดกับประเทศรัสเซีย
  • พิกัด : เมืองคาซเบกิ 

เมืองกูเดาริ (Gudauri)

6. เมืองกูเดาริ (Gudauri)

ทำความรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวในจอร์เจียที่คนรักสายลมหนาวจะต้องชอบใจเป็นแน่ กูเดาริ ชื่อนี้แค่เอ่ยให้คนในพื้นที่ได้ยินก็สัมผัสได้สายลมอันหนาวเหน็บได้ทันที เพราะผู้คนพร้อมที่จะทำท่าทางเอาแขนมากอดตัวเองบ่งบอกถึงอาการหนาวจับใจ เมื่อมาเยือนที่นี่สามารถนอนเล่นหิมะ เล่นสกี และกีฬาอื่นๆ ที่เล่นในฤดูหนาวได้ทุกประเภท บอกได้เลยว่าเมืองกูเดาริที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมะแห่งนี้สามารถเทียบความยิ่งใหญ่เคียงกับเขาแอลป์ได้สบาย 

  • วิธีเดินทาง : รถโดยสารสาธารณะ
  • ที่อยู่ : ตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงของเทือกเขาคอเคซัสใหญ่ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,100 เมตร
  • พิกัด : เมืองกูเดาริ 

เทือกเขาคอเคซัส (Caucasus Mountains)

7. เทือกเขาคอเคซัส (Caucasus Mountains)

ปิดท้ายสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการพูดถึงตลอดทุกสถานที่ท่องเที่ยวที่ผ่านมา ที่แห่งนี้เป็นเทือกเขาสำคัญที่สุดในจอร์เจียที่ทำให้จอร์เจียมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทุกทิศมุมโลกแห่กันมาเที่ยวที่นี่ และสำหรับคนในพื้นที่เองก็ถือเทือกเขาคอเคซัสแห่งนี้เป็นชีวิตสำหรับพวกเขา เพราะเป็นปราการธรรมชาติที่แบ่งพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป และยังมีประวัติศาสตร์ที่เป็นเส้นทางสายไหมในอดีต การได้มาเห็นเทือกเขาคอเคซัสก็ถือว่าเป็นทริปที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วสำหรับการมาจอร์เจีย ฉะนั้นอย่าพลาดที่จะมาเยือนที่แห่งนี้เด็ดขาด 

  • วิธีเดินทาง : รถโดยสารสาธารณะ
  • ที่อยู่ : มีขอบเขตระหว่างทะเลดำและทะเลแคสเปียน 
  • พิกัด : เทือกเขาคอเคซัส 

อาหารขึ้นชื่อจอร์เจีย มาแล้วห้ามพลาด!

อาหารขึ้นชื่อจอร์เจีย มาแล้วห้ามพลาด!

เมื่อได้รู้จักกันไปแล้วว่าจอร์เจียสถานที่เที่ยวที่ไหน ที่ไม่ควรพลาดบ้าง ต่อมาก็ถึงเวลามาทำความรู้จักอาหารขึ้นชื่อของจอร์เจียที่เป็นเมนูอาหารขึ้นชื่อ หากได้ไปเยือนจอร์เจียทั้งที อาหารที่ต้องทานให้ได้มีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย 

1. Khachapuri 

เริ่มต้นเมนูแรกก็ชวนน้ำลายสอกันไปตามๆ กัน เมนูนี้จัดเป็นอาหารเช้าของจอร์เจียที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด รสชาติเป็นอะไรที่อร่อยสุดยอดมาก ใครไม่ได้กินถือว่าพลาดอย่างรุนแรง เป็นอาหารที่ทำมาจากขนมปังแป้งบางกรอบทรงถ้วย บ้างก็เป็นทรงกลม สี่เหลี่ยม และเรือก็มี ตรงกลางมีไข่ เนย ชีสผสมกัน รสชาติคือนุ่มแป้ง หอมเนยและชีสมาก

2. Khinkali

เมนูต่อมาใครพลาดบอกเลยว่าอย่ามาเสียใจภายหลัง เพราะเมื่อได้ลองลิ้มแล้วจะวางช้อน ส้อมไม่ลง และต้องร้องขอชิ้นต่อไปทันที เพราะอาหารชนิดนี้มีลักษณะเป็นเส้นยาวๆ ที่แขวนตามร้านต่างๆ คล้ายกับไส้กรอกอีสานเมืองไทย วิธีการทำคือ มีวอลนัท หรือถั่วร้อยเป็นเส้นด้าย รสชาติคืออร่อยจับใจ

3. Lobiani

มาต่อกันที่เมนูอาหารที่คนชอบขนมปังไส้ถั่วไม่ควรพลาด เพราะเมนูนี้จัดเป็นขนมปังไส้ถั่วที่รสชาติกลมกล่อม เข้ากันเวอร์ ซึ่งเป็นเมนูคลาสสิกที่หาทานได้ทั่วในจอร์เจีย มีส่วนผสมของถั่วและแฮมผสมกัน มีปรุงรสด้วยพริกไทยและเกลือ อร่อยอย่าบอกใครเชียว

4. Chacha

ต่อเนื่องด้วยเมนูเครื่องดื่มกันบ้าง เป็นเมนูเครื่องดื่มยอดนิยมสำหรับชาวจอร์เจียเลยล่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวเองก็ไม่ควรพลาดประการทั้งปวง เมนูนี้จัดเป็นบรั่นดีจอร์เจียแท้ๆ ที่ทำมาจากเปลือกองุ่นที่เหลือจากการบ่มไวน์ บอกเลยลองแล้วจะติดใจ 

5. Georgian Wine

ปิดท้ายด้วยเมนูไวน์ที่ใครมาจอร์เจียจะต้องลองชิมให้ได้ หากไม่ลองถือว่ามาไม่ถึงจอร์เจีย อย่างที่รู้กันว่าจอร์เจียจัดว่าเป็นประเทศที่ผลิตไวน์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งผ่านการผลิตไวน์มานานถึง 8,000 ปี ได้ยินแบบนี้แล้วจะพลาดได้อย่างไรกัน 

วัฒนธรรมของคนประเทศจอร์เจีย

วัฒนธรรมของคนประเทศจอร์เจีย

ทุกๆ ประเทศย่อมมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน รวมไปถึงมารยาทวิถีชีวิตที่คนท้องถิ่นปฏิบัติ ก็ล้วนแล้วแปลกตาสำหรับคนต่างถิ่น ฉะนั้นเมื่อไรที่เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม ก่อนเดินทางไปจอร์เจียก็เช่นเดียวกัน ควรศึกษาก่อนที่ออกเดินทาง เพราะหากทำอะไรที่แปลกหรือถึงขั้นให้คนท้องถิ่นไม่ชอบ อาจสูญเสียความสัมพันธ์และหมดสนุกเป็นอุปสรรคในการเที่ยวจอร์เจียได้เลย เรามาดูกันว่าข้อห้ามและข้อเมื่อไปจอร์เจียมีอะไรบ้าง  

การดื่มไวน์ 

จอร์เจียเป็นประเทศที่นิยมดื่มไวน์กันมาก เมื่อมีงานเลี้ยงฉลอง คนจอร์เจียมักดื่มไวน์กันเป็นสิบลิตรเป็นปกติ ราคาไวน์จึงถูกมาก

การขับรถ 

เมื่อไปจอร์เจียแล้วเช่ารถขับเอง ต้องเข้าใจมารยาทของการขับรถที่อาจดูแย่บ้าง แต่ไม่ใช่ทุกคน เป็นคนจอร์เจียบางคนเท่านั้น คือจะขับเร็ว ปาดซ้ายขวาไม่ดูรถ บีบแตรไล่บี้รถคันหน้า และเลี้ยวรถไม่เปิดไฟเลี้ยว 

การบุหรี่เป็นเรื่องปกติ

วิถีของคนจอร์เจียมักสูบบุหรี่เป็นชีวิตจิตใจ ทำให้คนต่างถิ่นมองว่าคนจอร์เจียสูบบุหรี่จัดมากทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงขั้นมีคนพูดว่า คนที่นี่สูบบุหรี่เหมือนควันรถไฟ ใครที่แพ้ควันบุหรี่ก็ให้เตรียมตัวเตรียมใจด้วยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

คนขอทานที่ต้องระวัง

เมื่อในอดีตตอนโซเวียต สภาพบ้านเมืองที่นี่แทบเป็นศูนย์ คนที่มีเงินเก็บในธนาคารก็นำก็มาใช้ไม่ได้  ไม่มีไฟฟ้าใช้เกือบสองเดือน ทำให้กว่าคนที่นี่จะฟื้นตัวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้มีกลุ่มขอทานกันเยอะ แต่ก็พึงระวังคนกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า คนยิปซี คนเหล่านี้สวมการเป็นขอทานที่ทำเกินกว่าการเป็นขอทาน มักจะเดินเข้าถึงตัว และตื๊อจนน่ารำคาญ สร้างความหวาดกลัวในคราวเดียว จึงแนะให้รักษาของมีค่าไว้ให้ดีเวลาคนกลุ่มนี้มาขอเงิน 

สรุป

จอร์เจียเป็นประเทศที่มีต้นทุนธรรมชาติที่สวยงาม มีความโดดเด่นเป็นดินแดนสองทวีปที่ผู้คนยังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากสมัยก่อนมากนัก ทำให้ใครที่หลงใหลในวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติอย่างเทือกเขา และมีค่าครองชีพที่ไม่ได้สูงจนเกินไป และถูกมากสำหรับคนไทยด้วยซ้ำไป การเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวที่จอร์เจียจึงเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาด และสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ด้วยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สัมพันธ์กับสภาพอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์ รับรองว่าการไปเที่ยวจอร์เจียจะไม่ทำให้คุณพบกับคำว่าผิดหวัง

และถ้าใครอยากสัมผัสกับบรรยากาศสไตล์ยุโรปแบบประหยัดงบ  ไม่ต้องบินไปไกลถึงยุโรปหรือจอร์เจีย อย่าพลาดที่จะมองข้ามการเดินทางมาเที่ยวและพักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าที่ Rancho Charnvee Resort ที่พักสไตล์ยุโรปใจกลางเขาใหญ่ที่คุณจะได้ดื่มด่ำกับความเป็นสถาปัตยกรรมยุโรปแบบใกล้ชิด เหมาะแก่การถ่ายรูปสวยตะลึง พร้อมด้วยห้องพักมาตรฐานดี มีวิวทิวเขาห้อมล้อมเหมือนอยู่ท่ามกลางเทือกเขาคอเคซัส เรียกได้ว่าเขาใหญ่เปรียบเป็นคอเคซัสเมืองไทย ที่อบอวลไปด้วยความสวยงามทำให้คุณได้เพลิดเพลินใจกับการพักผ่อนได้อย่างจัดเต็ม