รีสอร์ทกับโรงแรมต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์
ในปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมและรีสอร์ทนั้นได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก และรายใหญ่ เนื่องจากประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ วัดวาอารามที่มีเอกลักษณ์ และสถานที่บันเทิงอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ทำให้นักท่องเที่ยวแห่แหนเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก รวมทั้งคนไทยเองก็เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ อย่างคับคั่ง
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางมาท่องเที่ยวคือที่พัก ซึ่งสำหรับที่พักรองรับนักท่องเที่ยวที่นิยมด้วยกันก็จะมีประเภทรีสอร์ทและโรงแรม แต่ก็เชื่อว่าหลายคนต้องสงสัยอย่างแน่นอนว่ารีสอร์ทกับโรงแรมต่างกันอย่างไร? ควรเลือกเข้าพักแบบไหนดี? ต้องไปร่วมหาคำตอบพร้อมๆ กันในบทความนี้ว่าความแตกต่างของที่พักทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างตรงจุดไหนบ้าง และแบบไหนที่เหมาะกับการพักของคุณ
รีสอร์ทกับโรงแรมต่างกันอย่างไร? มาดูกันเลย
เริ่มที่ความเหมือนของรีสอร์ทและโรงแรมคือ สถานที่พักผ่อนหรือสถานที่ค้างแรมหลังจากการเดินทาง แต่ถ้าหากเป็นความแตกต่างระหว่างโรงแรมและรีสอร์ทก็คือ วัตถุประสงค์ในการเข้าพัก ทำเลที่ตั้ง รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาพัก ทั้งหมดนี่สามารถบอกความแตกต่างได้เป็นอย่างดี โดยเราจะไปลงรายละเอียดในเชิงลึกกันดังนี้
• วัตถุประสงค์ในการเข้าพัก
วัตถุประสงค์ของกลุ่มลูกค้าที่เข้าพักที่รีสอร์ทคือ เพื่อต้องการพักผ่อนเพราะตัวของรีสอร์ทจะสร้างขึ้นเพื่อตอบรับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากพักผ่อนไปกับบรรยากาศธรรมชาติ และการเข้าพักที่รีสอร์ทยังสามารถรองรับจำนวนคนได้เยอะ ซึ่งต่างจากวัตถุประสงค์ของการเข้าพักในโรงแรม ที่จะเป็นการพักแบบฉาบฉวยในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการเข้ามาพักผ่อนไปกับบรรยากาศธรรมชาติ เพราะอาจจะเข้ามาพักเพียงเพราะต้องไปทำธุระอื่นๆ ระหว่างการเดินทางในทริปนั้นๆ
• ทำเลที่ตั้ง
นอกจากรีสอร์ทกับโรงแรมจะต่างกันในเรื่องของวัตถุประสงค์ในการใช้งานแล้ว ยังแตกต่างกันในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ตัวของรีสอร์ทจะตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นธรรมชาติ เช่น ติดชายทะเล ติดริมแม่น้ำ และไกลออกไปจากตัวเมือง บรรยากาศรอบๆ จะเงียบสงบ มีพื้นที่ส่วนตัวขนาดกว้างขวาง แต่หากเป็นโรงแรมจะสังเกตได้ว่ามักนิยมตั้งอยู่ในตัวเมืองหรือโซนธุรกิจที่เดินทางสะดวกสบาย มีขนส่งสาธารณะทั่วถึง มีร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ให้เลือกหลากหลาย
• ลักษณะที่พัก
ลักษณะที่พักของรีสอร์ทกับโรงแรมต่างกันอย่างไร จุดสังเกตง่ายๆ คือ รีสอร์ทจะมีลักษณะที่พักที่กว้าง ภายในมีการแบ่งโซนห้องอย่างชัดเจน ตัวที่พักเองก็จะถูกแบ่งออกเป็นโซนๆ และอาจจะมีเนื้อที่ให้นั่งเล่นหรือมีสระว่ายน้ำส่วนตัว แต่หากเป็นโรงแรมโดยทั่วไปลักษณะที่พักจะอยู่ในอาคารตึกสูงๆ พื้นที่ภายในห้องจะถูกจำกัด ไม่มีพื้นที่มากนัก และภายในห้องจะเป็นเพียงแค่ห้องนอนและห้องน้ำเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีระเบียงให้ออกมารับลมชมวิว
• กลุ่มลูกค้า
ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาพักที่รีสอร์ทจะมากันเป็นหมู่คณะ ครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน เพื่อพักผ่อนในระยะยาวช่วงวันหยุดและทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน แต่หากเป็นกลุ่มลูกค้าที่เข้าพักที่โรงแรมมักจะเข้าพัก 1-2 คนต่อห้อง เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้นอนหลับอย่างเดียวและในตอนเช้าอาจจะต้องออกเดินทาง หรือกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องเดินทางมาทำงานในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดจึงต้องการเช่าห้องพักไว้สำหรับนอนพักชั่วคราวเท่านั้น
วิวัฒนาการโรงแรมในประเทศไทย
ความหมายของโรงแรมคือ สถานที่ที่ใช้รองรับนักเดินทางหรือบุคคลที่ต้องการที่พักชั่วคราว ซึ่งระยะเวลาในการเข้าพักโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1 คืนขึ้นไป โดยการจัดตั้งโรงแรมในอดีตเองก็มีวัตถุประสงค์ที่คล้ายคลึงกับปัจจุบัน เช่น วัตถุประสงค์ทางการค้าหรือธรุกิจ การเมือง การกีฬา ศาสนา สุขภาพอนามัย โดยที่การจัดตั้งโรงแรมมีเรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่ยุคโบราณในสมัยกรีกและโรมันโบราณ ซึ่งถือว่าการจัดตั้งโรงแรมมีอายุราวๆ 1000 ปีเลยทีเดียว
แต่สำหรับในอดีตของประเทศไทยเอง การจัดตั้งโรงแรมได้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2419 – พ.ศ. 2488 ซึ่งโรงแรมโอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมแรกๆ ของประเทศไทยและมีอายุยาวนานมากที่สุดจวบจนวันนี้ และในภายหลังได้เริ่มมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาจัดตั้งโรงแรมขึ้นหลากหลายที่ ได้แก่ อินเตอร์คอนติเนนตัล, เชอราตัน, ไฮแอท รีเจนท์, ฮอลิเดย์อินน์, แมนดาริน, โนโวเทล, โซฟิเทล และแชงกรีลา เป็นต้น
ทำความรู้จักกับประเภทของที่พักแรมแบบต่างๆ
การจัดประเภทของที่พักแรมจะแตกต่างกันและขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเข้าพัก ซึ่งทั่วไปแล้วหลายๆ ธุรกิจอาจจะแบ่งประเภทของโรงแรมตามกลุ่มเป้าหมายการตลาด หรือแบ่งตามกลยุทธ์ทางการตลาด แต่ถึงอย่างไรเพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งและเจาะลึกมากยิ่งขึ้นว่าโรงแรมมีกี่ประเภท จึงขอนำเสนอแนวคิดของ Steadmon, C.E. & Kasavana, M.L. (1988) ที่ได้จัดและแบ่งประเภทของโรงแรมไว้ในหนังสือ Managing Front Office Operations โดยได้แบ่งประเภทโรงแรมไว้เป็น 9 ประเภทดังนี้
1. โรงแรมเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Hotels)
โรงแรมเพื่อการพาณิชย์คือ โรงแรมที่จัดตั้งขึ้นมาในทำเลที่ตั้งย่านธุรกิจหรือใจกลางเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหล่านักธุรกิจที่ต้องเดินทางมาทำธุระ ซึ่งเป็นการพักผ่อนแบบชั่วคราว อาจจะมีระยะเวลาในการเข้าพัก 1-3 วัน นอกจากนี้โรงแรมที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ยังมีการบริการด้านอื่นๆ เช่น ห้องสัมมนา ห้องงานเลี้ยง ห้องประชุม และการหาลูกค้าเข้ามาพักที่โรงแรมประเภทนี้จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าองค์กรหรือธุรกิจ
2. โรงแรมสนามบิน (Airport Hotels)
ความหมายและจุดประสงค์ของโรงแรมสนามบินคือ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ต้องเดินทางและต้องการพักผ่อน อาบน้ำ ในช่วงระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบิน แม้แต่เจ้าหน้าที่ของสายการบินเองก็ใช้บริการโรงแรมนี้ เพราะสามารถช่วยให้เกิดความสะดวกในการประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายโดยที่ไม่จำเป็นต้องนั่งรถออกไปเช่าโรงแรมภายนอก แต่ข้อจำกัดของโรงแรมประเภทนี้คือ ภายในห้องจะมีขนาดพื้นที่น้อย ไม่กว้างขวาง อาจจะทำให้ไม่รับได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร
3. โรงแรมห้องสูท (Suite Hotels)
โรงแรมห้องสูทจะเป็นหนึ่งในประเภทของห้องโรงแรมที่ไว้รองรับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง เพราะห้องสูทจะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในเรื่องความสวยงาม ขนาดที่กว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน และภายในห้องจะมีการจัดสรรปันส่วนระหว่างห้องนอนและห้องนั่งเล่น ทำให้คุณมีพื้นที่ในการพักผ่อนที่มากขึ้น
4. โรงแรมแขกพักประจำ (Residential Hotels)
ในกรณีที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นระยะเวลานานหลายสัปดาห์ โรงแรมแขกพักประจำหรือ Service Apartment จะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ลูกค้ากลุ่มนี้จะทำการจองเพื่อเข้าไปพัก ทางโรงแรมจะมีการคิดค่าใช้จ่ายเหมาเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนตามแต่การตกลง และภายในห้องจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เพราะจะมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน และยังมีบริการอื่นๆ เช่น บริการซักผ้า มีรถรับส่งจากโรงแรมไปยังสถานที่ใกล้เคียงบริเวณรอบๆ
5. โรงแรมรีสอร์ท (Resorts Hotel)
โรงแรมประเภทรีสอร์ทคือ โรงแรมที่มีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับธรรมชาติอย่างทะเล ภูเขา เพื่อรับรองแขกผู้ที่มาเข้าพักในช่วงวันหยุด และภายในยังมีบริการอื่นๆ รวมด้วย เช่น กิจกรรมวาดรูป กิจกรรมขี่ม้า การให้บริการสปา ทั้งนี้ กิจกรรมจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถานที่ และโรงแรมประเภทนี้ในช่วงเทศกาลหรือช่วงไฮซีซั่น นักท่องเที่ยวจะเยอะมาก จนทำให้บางครั้งจำนวนห้องก็ไม่เพียงต่อการรองรับ ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุว่าควรทำการจองห้องพักประเภทนี้ล่วงหน้าก่อนการเดินทาง
6. โรงแรมซึ่งจัดห้องพักและอาหารเช้า (Bed and Breakfast)
หากคุณเป็นนักเดินทางหรือผู้ที่ต้องแวะไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ ต้องคุ้นเคยกับประเภทของโรงแรม B&B หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Motel อย่างแน่นอน เพราะโรงแรมประเภทนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาระหว่างการเดินทาง และต้องการที่พักเพื่อรุ่งเช้าต้องเดินทางต่อ สำหรับพื้นที่ของโรงแรมจะมีจำนวนห้องไม่เยอะมากประมาณ 20-30 ห้อง ราคาต่อคืนก็ย่อมเยาเฉลี่ย 500-700 บาทต่อคืน ส่วนทำเลที่ตั้งของโรงแรมจะตั้งอยู่แถวๆ ชานเมือง หรือตามเส้นถนนสายหลักที่มีรถแล่นผ่าน
7. คอนโดเทล (Condominium Hotel)
คอนโดเทล มาจากคำว่า Condominium + Hotel เป็นคอนโดมิเนียมที่มีการขอใบอนุญาตการเพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม แต่ว่าโรงแรมในลักษณะนี้จะยังไม่พบในประเทศไทย เนื่องจากกฎหมายยังไม่รองรับในการเปิดกิจการประเภทนี้ เพราะคอนโดเทลจะต้องจดทะเบียนในนามธุรกิจของโรงแรม แต่จะมีพื้นที่บางส่วนที่ขายหรือให้สิทธิ์เช่ากับผู้ที่ต้องการซื้อหรือเช่า โดยเมื่อทำการซื้อขายกันแล้ว ผู้ซื้อเกิดตัดสินใจว่าจะยังไม่ย้ายเข้าอยู่ ทางฝ่ายบริหารของโรงแรมก็จะนำห้องที่ผู้ซื้อทำการซื้อไว้ก่อนหน้ามาปล่อยให้เช่า
โดยโรงแรมลักษณะนี้ยังมีการบริหารในเชิงการขายกรรมสิทธิ์ร่วมแบบแบ่งปันเวลาใช้ หมายความว่าห้องชุด 1 ห้องสามารถมีผู้ซื้อได้หลายคนอาจจะมากถึง 10 คนก็ได้ และจะมีการแบ่งรอบการเข้าอยู่โดยอาจจะกำหนดว่าคนละ 30 วัน รวมทั้งหมดเป็น 10 เดือน และอีก 2 เดือนที่เหลือ ทางผู้บริหารโรงแรมสามารถปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาเช่าได้ หรือจะปิดห้องไว้เพื่อทำการบำรุงรักษาและทำความสะอาด
8. โรงแรมบ่อนการพนัน (Casino Hotels)
จุดประสงค์ของการสร้างโรงแรมบ่อนการพนันคือ เพื่อรองรับแขกผู้เข้ามาเล่นการพนันที่บ่อนหรือคาสิโน นอกจากนั้นยังเป็นการร่วมมือทางด้านการตลาดของโรงแรมและบ่อนการพนัน เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาพักได้รับความสะดวกสบายในการเข้าพักหลังเล่นการพนันเสร็จ
สำหรับพื้นที่ของโรงแรมจะมีขนาดกว้าง มีจำนวนห้องพักหลายห้อง มีบริการอาหารประเภทบุฟเฟต์ และบริการอื่นๆ เช่น การจัดการโชว์การแสดง เพื่อความบันเทิง สระว่ายน้ำ โดยส่วนใหญ่แล้วโรงแรมประเภทนี้จะมักจะพบบ่อยที่ต่างประเทศ อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ลาสเวกัส หรือประเทศจีนเอง ซึ่งในประเทศไทยยังจะไม่พบโรงแรมประเภทนี้
9. ศูนย์ประชุม (Conference Centers)
โรงแรมประเภทศูนย์ประชุมจะมีลักษณะคล้ายๆ กับโรงแรมเพื่อการพาณิชย์ โดยพื้นที่ของโรงแรมนอกจากจะมีที่พักหลากหลายห้องแล้ว ยังเน้นบริการห้องประชุมขนาดเล็กไปจนขนาดใหญ่เพื่อรองรับแขกผู้ที่เข้ามาร่วมงานประชุม ตัวอย่างของโรงแรมประเภทนี้ได้แก่ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ย่านราชประสงค์ หรือโรงแรมรอยัลคลิฟพัทยา เป็นต้น ซึ่งโรงแรมประเภทศูนย์ประชุมยังรวมไปถึงโรงแรมที่ใกล้บริเวณศูนย์ประชุม เช่น ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จะมีโรงแรมบริเวณรอบๆ เพื่อให้แขกที่มาทำธุระที่ศูนย์ประชุมได้เข้าพัก
คลายข้อสงสัยกันไปบ้างแล้วสำหรับคำถามรีสอร์ทกับโรงแรมต่างกันอย่างไร ที่ถึงแม้ตอนนี้จะรู้ว่ามีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังคงมีความหมายที่คล้ายคลึงกันของโรงแรมและรีสอร์ทอยู่นั้นก็คือ เพื่อให้ผู้เข้าพักเกิดความผ่อนคลายและได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ดังนั้น หากคุณเป็นนักเดินทางท่องเที่ยว หรือต้องเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ การแยกประเภทของโรงแรมและรีสอร์ทก็จะช่วยให้คุณเลือกที่พักได้ตรงกับความต้องการ ไลฟ์สไตล์และวัตถุประสงค์ในการใช้งานได้